อัตชีวประวัติ พระเดชพระคุณพระราชวชิราธิการ ( หลวงปู่ทวี จิตตคุตโต ) อายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๓ ( พ.ศ. ๒๕๖๗ ) ตอนที่ 2

อัตชีวประวัติ พระเดชพระคุณพระราชวชิราธิการ ( หลวงปู่ทวี จิตตคุตโต ) อายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๓ ( พ.ศ. ๒๕๖๗ ) ตอนที่ 2

ธรรมะโอสถ

อยู่ช่วยงานได้ประมาณสักเดือนกว่าๆ ก็กลับวัดป่าทีนี้เกิดโรคกระเพาะขึ้นมาอย่างแรงทีเดียวเพราะว่าฉันหน่อไม้เปรี้ยว หลวงปู่แว่น ท่านเอาอาหารมารวมกันหมด เราเลือกทานไม่ได้พอมาถึงวัดแล้วก็มีแต่ถ่ายท้อง ท้องร่วงอย่างแรง โยมได้นิมนต์ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาล อ.พรรณานิคม หมอบอกว่า เป็นโรคกระ เพาะอย่างแรง หลวงพี่ต้องสึกจึงจะหาย หมอเขาให้ยามาฉันแต่โรคนั้นก็ไม่ทุเลาลง มีแต่กำเริบขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งนั้นเป็นวันพระได้เทศน์อบรมญาติโยม แล้วก็ได้ขอลาญาติโยมไปพักที่กุฏิ ตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจว่า…ถ้าหากข้าพเจ้านี้ มีบุญวาสนาที่จะได้ช่วยพระพุทธศาสนาอยู่นั้น ก็ขอให้โรคนี้หายไปเสีย ถ้าหากว่าไม่มีบุญวาสนาที่จะไม่ได้ช่วยพระพุทธศาสนานั้น จะตายก็ขอให้ตายในผ้าเหลืองนี้ อย่าไปตายนอกผ้าเหลืองเลย…พออธิษฐานจบแล้ว ประมาณสักเที่ยงคืนเท่านั้นก็ได้เห็นตาปะขาวเอายามาให้สามเม็ด แล้วเราก็ได้ทานยานั้นลงไป ก็ปรากฏว่ามันเย็นลงไปตั้งแต่ลำคอนี้ซาบซ่านไปหมดทั้งตัว โรคกระเพาะก็ได้หายตั้งแต่คืนนั้นและมาจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาไม่กี่วันก็มีตาปะขาวคนเก่านั้น ได้เอาหนังสือพระไตรปิฎกชนิดใบลานนั้นมาให้อ่านดู ตัวเราเองก็ได้ให้ตาปะขาวนั้นอ่านให้ฟังตาปะขาวก็ตอบว่าผมอ่านไม่ได้ขอให้ท่านอ่านเอาเอง เราก็ได้อ่านดูว่า…อาจารย์เสาร์อาจารย์มั่น ได้เป็นนกเจ่าแก้วเข้าสู่เมืองทอง ฝูงหมู่นกน้อยนอนกองกันตาย นำลูกระเบิด ไผผู้เปิดโลกได้เห็นแจ้งพระนิพพาน… (นกเจ่าแก้ว คือ นกยาง นำลูกระเบิดหมายถึง ตายด้วยลูกระเบิด ไผผู้เปิดโลก หมายถึง ( ใครผู้เปิดโลก ) ที่วัดป่าบ้านบะฮะนี้ ที่อยู่มาก็รู้สึกว่า เป็นมงคลดีสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าเอาใจใส่ในการภาวนา สถานที่ก็เป็นมงคล ชาวบ้านก็เป็นมงคล ในเรื่องปัจจัยสี่ก็พอเป็นไปได้แต่สมัยปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ในระหว่างที่เราอยู่ที่นั่นรู้สึกว่าดีมาก ได้นิมิตเห็นญาติโยมมาหาทุกสานุทิศ เห็นเอาตันเงิน ตันทองมาด้วย แต่คนอื่นไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเฉพาะในเรื่องนี้ มันเกี่ยวแก่บารมีของใครของมันที่ตัวเราเองไม่อยู่ครั้งนั้นก็เพราะว่า ในฤดูแล้งน้ำก็อดๆ อยากๆเฉพาะน้ำในตุ่มนั้นก็ไม่มีขาด แต่ก็เห็นอกเห็นใจชาวบ้าน  กลางคืนดึกตื่นก็พากันตักน้ำอยู่กลางทุ่งนั้น ในคราวที่เรา  จากเขามาญาติโยมก็พากันร้องห่มร้องไห้กันทุกคน  มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง  เวลานอนกลางคืนได้ฝันเห็นตัวเราเองไปลาโยมคนนั้นว่า   อาตมาจะขอลาไปก่อนนะ พอได้ยินเสียงดังนั้น ก็ร้องไห้ขึ้นมาทันทีจนแตกตื่นกันทั้งบ้านเลย

สู่จันทบุรี  พรรษาที่ ๔-๕ (พ.ศ. ๒๕O๘-๒๕O๗)

พอต่อมาไม่กี่วันก็มีอาจารย์จันทร์ดา กสฺสโปที่กลับมาอยู่บ้านตอนแคน กุมภวาปีนี้ ได้เขียนจดหมายส่งไปให้กลับมาหาท่าน ว่าอาจารย์จะพาไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ แล้วลงไปที่จันทบุรี เมื่อเราได้อ่านจดหมายอาจารย์แล้วตอนเข้าฉันอาหารเสร็จแล้วก็ได้พูดกับญาติโยมว่าอาจารย์จะพาไปเที่ยวกรุงเทพแล้วลงไปจันทบุรี เพราะว่าท่านอาจารย์จันทร์ดา ท่านได้พูดคุยกับท่านอาจารย์บุญจันทร์แล้วอาจารย์บุญจันทร์ก็อยู่วัดป่าชัยวรรณขอนแก่น พอได้ยินคำนี้ญาติโยมก็พากันร้องไห้ตัวเราเองก็ได้แต่ปลอบใจญาติโยมว่า ถ้าหากว่าฟ้าใหม่ฝนใหม่ตกลงมาแล้ว ก็อาจจะกลับมาหาอีก เพราะอยู่ไปก็ยากลำบากกับน้ำ อาตมาเองก็สงสารคนตักน้ำให้ตัวของอาตมาเองพรรษาก็ยังอ่อนอยู่ ยังไม่เหินห่างอาจารย์เท่าไหร่นัก เมื่อพูดอย่างนี้แล้วญาติโยมเขาก็อนุญาตให้เราไปกับอาจารย์ เราเองก็ได้มาหาอาจารย์ที่วัดป่าบ้านดอนแคนนั้น แล้วต่อมาก็ลงไปที่ขอนแก่น วัดป่าชัยวรรณประมาณสักเดือน แล้วอาจารย์จันทร์ดากับอาจารย์บุญจันทร์ก็เรียกหมู่ที่จะไปด้วยกันก็มีอยู่ด้วยกันแปดองค์ แม่ชีสองคน แล้วก็สัญญากันว่าถ้าไม่ถึงแปดปีจะไม่ให้แยกจากกัน ถ้าใครจะไปต้องมารับคำสาบานกันเสียก่อนแล้วจึงไปทุกองค์ก็ต้องมารับด้วยกันหมดถ้าหากใครหนีก่อนคนนั้นก็ต้องมีอันเป็นไป แล้วก็พากันเดินทางลงไปที่กรุงเทพฯ ได้ไปพักอยู่ที่วัดหลวงพ่อวิริยังก์ วัดธรรมมงคล ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็ได้มาพักอยู่ที่วัดเกาะแก้วของหลวงพ่อเจี๊ยะ ได้ประมาณอาทิตย์นึงแล้วก็ได้ไปที่วัดเขาตรานก ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ก็ได้จำพรรษาที่นั่นสองปี ที่เราได้มาพักอยู่ที่วัดนี้ ได้ประมาณสักอาทิตย์ นิมิตเห็นบุคคลหนึ่งแบกไม้ยางมาทั้งต้น เพื่อจะเอามาทับตัวเรา แต่ไม้ยางขอนนั้นไม่สามารถที่จะออกจากบ่าเขาคนนั้นได้ แม้แต่ตัวเราเองเข้าไปจับยกออกจากบ่าเขาก็ยังเอาออกไม่ได้ บ่าของเขายังติดอยู่กับไม้นั้น อันนี้คือตัวทิฐิของเขา ไม่ยอมปล่อยวาง พอต่อมาก็นิมิตเห็นไฟในวัดลุกลามออกไปไหม้ในบ้าน เห็นไฟในบ้านลุกลามเข้ามาในวัด แต่ก็ทำอะไรกับเราไม่ได้ มีแต่เอาอัปราชัยไป เหมือนพวกพญามารไปต่อสู้กับพระพุทธเจ้าอย่างไรก็เหมือนอย่างนั้น การที่เราได้อยู่จำพรรษาที่วัดนี้สองปี การภาวนาก็ไม่เป็นไปมีแต่ความง่วงเหงหาวนอนอยู่เป็นนิจ เพราะว่ามันเกี่ยวส่วนญาติโยมเขาก็กินเหล้าเป็นส่วนใหญ่แม้กระทั่งในวัดก็ยังเอามากิน ศีลก็รับ เหล้าก็เอามากิน อันนี้เราได้มาปลงธรรมสังเวชตัวเราเองว่า ถ้าหากพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ต้องติเตียนเรามากทีเดียวก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปหาเรา เขาพูดกับเราว่าท่าน ๆ….ท่านบวชแต่เมื่อยังเป็นหนุ่มอยู่ มันเป็นบาปนะเราก็ถามเขาว่ามันเป็นบาปอย่างไรเขาก็ตอบว่าสัตว์ทั้งหลายเขาไม่ได้เกิดกับท่าน ตัวเราก็สวนเขาไปว่าอาดมานี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหน เข้าที่ไหน ออกที่ไหนมันไม่มีที่จะเข้า เข้าไปอยู่ในอาดมาเป็นผู้ชาย จะให้เขาเกิดกระเพาะอาหาร ตัวตืดก็จะซ้อม (เจาะ, ห้อมล้อม) กินหูกินตาไปหมดละซิ พอเราตอบไปอย่างนี้ ดูหน้าดูตาเขาก็หน้าแดงไปหมด บุคคลนี้เขาถือพระเยซูมีอยู่คืนหนึ่ง ได้นิมิตไปสถานที่ในป่าแห่งหนึ่งได้เห็นพระประธานองค์หนึ่ง เป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เห็นบุคคลเขาไปกราบไหว้ แล้วปรารถนาอันใดก็ได้สมประสงค์ทุกคนไป ถ้าเราเองได้เข้าไปกราบไหว้แล้วปรารถนาว่า…ขอให้ข้าพเจ้านี้ได้ช่วยประกาศพระศาสนานี้ ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอจงอย่าได้ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาอิจฉาพยาบาทแก่ข้าพเจ้าเลยถ้าใครมาอิจฉาก็ขอให้บุคคลนั้นจงมีอันเป็นไปเทอญ…ท่านก็ได้ให้พรแก่เราว่า  เอวัง  โหตุ  เอวัง  โหตุ  เอวัง  โหตุ….  ถึงสามครั้ง แล้วเราก็ได้กลับออกมา แล้วก็ได้เห็นตามความประสงค์ของเรา ต่อมาไม่นานก็มีหลวงตาองค์หนึ่งช่างเอาเรื่องในบ้านเข้ามาในวัดเอาเรื่องในวัดออกไปในบ้าน แต่ญาติโยมบางคนก็เข้าใจได้ดีในเรื่องนี้ ญาติโยมเขาก็ฟังดูพฤติการณ์ของหลวงตาองค์นั้น พอเห็นท่าจะไม่ไหวแล้ว พระอาจารย์บุญจันทร์ก็ได้พาไปเที่ยวที่เกาะหมากได้ประมาณหนึ่งเดือน

ได้พบหลวงพ่อหนู

ก็ได้ขึ้นมาที่ลำปาง ในงานศพของพ่อสล่า กองแก้ว (คำว่าสล่า หมายถึง คนเป็นช่าง เช่น ช่างไม้ ช่างก่อ สร้าง)พ่อของอาจารย์ไพบูลย์ แล้วก็ได้พบหลวงพ่อหนูเป็นครั้งแรกหลวงพ่อหนูก็ได้ถามว่า ท่านเดิมอยู่ที่ไหน เราก็ตอบว่าอยู่ที่จังหวัดเลย หลวงพ่อหนูก็บอกว่าหลวงปู่แหวนก็คนจังหวัดเลย ก็อยู่กับผมที่ดอยแม่ปิ้ง นั่นแหละ พอหลวงพ่อหนูพูดให้ฟังอย่างนี้แล้วก็อยากไปกราบไหว้หลวงปูแหวนตัวเราเองก็ได้ไปกราบหลวงปู่บุญจันทร์ เพื่อขออนุญาตจากหลวงปู่บุญจันทร์ว่า อยากจะไปกราบหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋ง กับพระอาจารย์หนู หลวงปู่บุญจันทร์ท่านก็อนุญาตให้ไปกับ หลวงพ่อหนู วัดดอยแม่ปั๋ง พอตกกลางคืนมาก็ได้นิมิต เห็นหลวงพ่อหนูได้พาไปที่วัดดอยแม่ปิ้ง  แล้วเวลาไปบิณฑบาต ท่านก็ชี้บอกบ้านของคู่บารมีเรา ว่านี่เขาอยู่ตรงนี้ เราเองก็แปลกใจ ทำไมจึงมานิมิตอย่างนี้แต่เราเองก็คิดอยู่ในใจว่ามันจะเท็จจริงแค่ไหน เมื่อเราเดินทางไปกับหลวงพ่อหนูแล้วก็ได้ไปพักอยู่ที่วัดสันติธรรมเชียงใหม่คืนหนึ่ง ตอนเช้าฉันอาหารเสร็จแล้วก็ขึ้นรถโดยสารไปทางเชียงดาวเข้าอำเภอพร้าว

พบหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง  จ.เชียงใหม่

แล้วก็เดินเท้าเข้าไปที่วัดแม่ปั๋ง พอถึงวัดแล้วก็ได้สรงน้ำหลวงปู่แหวน ก็ได้สนทนากับหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนพูดว่า “แม่ของผมก็คนบ้านนาอ้อนั้นและอยู่แถวคุ้มนั้น     ” และเราเอง (หลวงพ่อทวี) ก็ตอบท่านว่า “ยายของกระผมก็อยู่นั่นแหละชื่อแม่บุตรา” หลวงปู่แหวนก็พูดต่อว่า…   “น้าของหลวงปู่ ก็อยู่ตรงนั้น ที่ไปรับเอาผมกลับมาในคราวนั้นเมื่อผมไปถึงบ้านแล้วผมก็ป่วย แต่ไม่มีใครมารักษา เฮาก็คิดอยู่ในใจว่า เมื่อกูหายแล้วจะหนีไป ไม่มาเหยียบมันซ้ำอีกหลอก      บ้านเนี้ย ผมก็เลยไม่ไปมันเท่าทุกวันนี้… อันนี้หลวงปู่แหวนท่านพูด   หลวงปู่แหวนท่านก็ถามหลวงพ่อหนูว่า เอาทวีไปไว้กุฏิไหน    หลวงพ่อหนูตอบว่าเอาไปทดลองกุฏินั้นเสียก่อนจะอยู่ได้ไม่อยู่ได้ในคืนนั้น     ไม่มีอะไรปรากฎขึ้นเลย พอตื่นเช้ามาก็ไปบิณฑบาต เราเองก็สังเกตดูว่า ในนิมิตที่อยู่ลำปางนั้นเท็จจริงแค่ไหนเราก็ดูไปตามนิมิตนั้นมันเหมือนกับว่า เรามาเห็นไว้ก่อนแล้ว   อะไรก็ไม่ผิดสักอย่าง   ผู้หญิงสาวคนนั้นก็ลงมาใส่บาตรพอดี ส่วนจิตใจของเราในตอนนั้นมันก็  มิแปลกแตกต่างอะไรก็ยังเป็นธรรมดาอยู่ที่เราพักอยู่กุฏินั้นคืนหนึ่งก็ไม่มีอะไร คืนสองก็ไม่มีอะไร คืนที่สามนิมิตเห็น บุคคลทั้งหลายนั่งอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ต้นไทรไปจนถึงหน้ากุฏินั้น แล้วมีป้ายติดอยู่ที่หน้าอกนั้นทุกคน เราก็ได้อ่านว่ามีแต่เขาพากันนุ่งขาวห่มขาวกันทุกคนม. ทั้งนั้น (ช.ม. หมายถึง เชียงใหม่) แล้วเขาก็ได้นิให้เราอยู่ช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ เพราะว่าวัดนี้มีความทรุดโทรมมาก พวกกระผมจะช่วยเอง พวกกระผมจะพากันหามาให้ ขอให้ท่านช่วยเป็นภาระให้พวกกระผมด้วย เขาก็เอาทรัพย์มากองไว้อยู่ตรงหน้านั้นเท่ากับจอมปลวกใหญ่ๆ เขาพูดว่าอันนี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งยังมากกว่านี้ เราเองก็ตอบรับเขาว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาเองก็จะรับเป็นภาระให้ พอเรารับนิมนต์เขาแล้ว เขาก็หายไปเลยเราเองขึ้นไปอยู่ดอยแม่ปังครั้งแรกเดือนพฤศจิกายนหรือว่าเดือนธันวาคม ๒๕๐๙ เพราะว่าในวันปีใหม่ ได้นิมิตเห็นไฟไหม้บ้านญาติตัวเองที่แถวตลาดวโรรสและตลาดลำไยนั้น พอถึงเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ ก็ได้นิมิตเกี่ยวกับคู่บารมีเจือเข้า ทุกๆ วัน (บ่อยๆ เข้าทุกวัน) คืนหนึ่งก็มีนิมิตเห็นพญานาคมาขอกินเรา อีกคืนหนึ่งก็นิมิตเห็นควายตัวเมียมาไล่กวด อีกคืนหนึ่งก็นิมิตเห็นไฟไหม้กุฏิ ไหม้จีวรบิณฑบาตมาเขาเอาไปกินหมด ไม่เหลืออะไรสักอย่างเลยเราเองก็คิดตรึกตรองอยู่ในใจว่าถ้าเราขืนอยู่นี่ก็ต้องสึกแน่ๆ เพราะเวลาบุญวาสนา มันเข้าหากันแล้วคงหลีกไม่พ้นเราเองจำเป็นต้องหนีไปให้มันห่างไกลเสียก่อน พอให้เขาได้มีสามีก่อน แล้วจึงกลับมาช่วยเทพเจ้าเขาที่เราได้รับนิมนต์เอาไว้แล้ว เมื่อถึงตอนค่ำแล้วหลังจากกวาดวัดสรงน้ำเสร็จแล้ว ก็เข้าไปหาหลวงปู่แหวนและหลวงพ่อหนู แต่เราก็ไม่ได้เปิดเผย ในนิมิตนั้นให้หลวงปู่ฟัง เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวจึงเก็บความลับเอาไว้ ตัวเราเองก็ได้สอบถามหลวงปู่แหวนว่า หลวงปู่ได้เที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ มีที่ไหนบ้างว่าเป็น สิริมงคลแก่เราผู้ปฏิบัติ หลวงปู่ท่านก็แนะนำให้ว่า ที่ป่าเมี่ยงแม่สายก็ดี อยู่ป่าเมี่ยงแม่ปิ้งก็ตี หลวงปู่แหวน ท่านพูดว่า “ป่าเมี่ยงแม่สายนี้ พวกภูมิเขาเก่งนะ มันฆ่าพระตายไปแล้วองค์หนึ่ง” เราเองก็ย้อนถามหลวงปู่ว่า ทางไหนที่ไปป่าเมี่ยงแม่สาย หลวงพ่อหนูท่านก็ช่วยชี้แนะนำหนทางให้ หลวงพ่อหนูก็พูดกับหลวงปูแหวนว่า “ตู๊วี (พระวี) มันกลัวผีแล้ว มันจะไปแล้วนะหลวงปู่” หลวงปู่ก็พูดว่า “จะไปก็ไปเสียก่อน อยากจะกลับก็ค่อยมาทีหลัง” พอหลวงปู่พูดอย่างนั้นแล้ว เราก็โล่งอกโล่งใจไปมากทีเดียว พอตอนเช้าฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็เตรียมจะไป จะไม่บอกให้หญิงสาวคนนั้นรู้ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมันรู้ได้อย่างไรก็ไม่รู้ พอเราสะพายบาตรออกจากกุฏิ เราจะไม่ให้มันเห็น มันก็เห็นเราจนได้มันซ่วนลัดทางข้างหน้า (พยายามดักหน้า) นั้นพอดี ผู้หญิงคนนั้นมันก็มานั่งร้องไห้อยู่ที่นั้น เราเองก็พูดปลอบใจหญิงคนนั้นว่า “โลกนี้มันกลมเหมือนกับล้อรถนั่นแหละ มันก็ไปก็มาอยู่ถ้าไม่ดายจากไปก่อนก็คงจะได้พบกันอีกครั้ง เวลานี้อยากไปหาภาวนาเสียก่อน” แล้วเขาก็กราบไหว้ แล้วก็หันหน้าเช็ดน้ำตา กลับไปไม่พูดอะไร จิตของเราตอนนี้มันเห็นแต่กองทุกข์ ถ้ามีครอบครัว

ป่าเมี่ยงแม่สาย  ( พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๑๐ )

เราธุดงค์เลาะตามขุนห้วยแม่สูนยอดแม่สูน ข้ามดอยผาข้างเคียงลงก็ถึงป่าเมี่ยงแม่สายพอดีต่ำ ในปี ๒๕๑๐ ได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าเมี่ยงแม่สายนั้นในเดือนเมษานั้นก็ได้นิมิตได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี พากันร้องไหขึ้นมา ก็มีเสียงออกมาว่าขอให้ท่านออกไปจากที่นี่ ถ้าท่านไม่หนีท่านก็ต้องตายในวันออกพรรษานั้น และตัวเราเองก็คิดอยู่ในใจว่าเราจะตายหรือว่ากิเลสมันจะตาย เราเองก็ได้ตัดสินใจจำพรรษาแล้วนั่นเพราะว่ามีผู้มาเตือนเราแล้ว เราก็ต้องรีบเร่งทำความเพียรให้แก่กล้าขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องนิ่งนอนใจการประพฤติปฏิบัติในทางสมาธิ จิตก็ลงได้ง่ายปัญหาก็เกิดได้ดี พิจารณาในอาการสามสิบสองก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ดีวันหนึ่งเรากำลังเดินจงกรมอยู่ ตอนหัวค่ำก็ได้พิจารณาในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นของจริงอยู่ทุกครั้ง แต่เรื่องของกิเลสตัณหาในทางจิตใจของเราก็ยังมีอยู่มาก นิมิตนี้มันก็ใช่ของจริง แต่มันเป็นแต่ของใช้ของเล่นของเท่านั้น เราจะไปสำคัญเป้าหมายเอาว่า เราเป็นผู้รู้เป็นพระอริยเจ้า ไม่ใช่นะ เราดูกิเลส ที่มันเกิดขึ้นจากจิตจากพอเราพิจารณาอยู่อย่างนี้ ใจของเรานี้มันยังมีอยู่ทั้งนั้นอาการความร้อน ก็ปรากฎร้อนขึ้นมาพื้นเท้าไปจนถึงบนศีรษะ เราก็พิจารณาเข้าไปเรื่อย ทีนี้ความร้อนที่อยู่บนศีรษะก็ลดลงมาเรื่อยๆ ความเย็นนั้นก็ตามลงมาจนถึงปลายเท้า สภาพจิตตัวนี้มันก็มีแต่ความสุข ไม่มีความเดือดร้อนอะไรเลย จิตมันอยู่คนละโลกกับเมื่อเรายังมีกิเลสอันหนาแน่นอยู่ สภาพจิตที่เรามีกิเลสอยู่บนหัวใจเรานี้ มันเหมือนกับว่าตัวเราเป็นคนรับใช้เขา หรือเป็นทาสเขานั่นเอง หรือว่าอีกอย่างหนึ่ง เหมือนช้างกับควาญช้างนั่น เมื่อควาญช้างมันอยากจะไปทางใด ควาญช้างก็จะไสคอช้างให้ไปทางของควาญช้างนั้น จิตใจที่มีกิเลสอยู่ในหัวใจนั้น ใครจะว่ามันมีความสุขเล่า มีแต่ปถุชนเท่านั้น ว่ามีความสุข ส่วนพระอริยเจ้านั้นจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์อย่างเดียว หนึ่งไม่มีสองคืออริยะสัจธรรมทั้งสี่นั้น มันเป็นของจริงโดยแท้

บริสุทธิ์เพราะธรรม

ต่อไปนี้เราจะต้องวัดดูจิตใจของเราให้รู้แน่ เราจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดดูในดวงจิตดวงใจของเราเล่าเครื่องวัดก็คือ กุศลมูลห้า อกุศลมูลห้า กุศลมูล คือ จิตเป็นกุศล อกุศลมูล คือ จิตที่เป็นบาป นี่เป็นเครื่องวัดดูจิตใจของเรา กุศลมูลห้าอย่างได้แก่อะไร คือ ความไม่โลภความไม่โกรธ ความไม่หลง ความไม่มีจิตใจแข็งกระด้างเป็นบุคคลที่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ส่วนที่เป็นอกุศลมูลห้าอย่างนั้นคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้มีมานะแข็งกระด้าง ความเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิเห็นผิดเป็นถูก นี่เป็นฝ่ายอกุศลมูล

ต่อไปเราจะต้องวัดความลึกซึ้งของจิต

ข้อที่ ๑ เมื่ออดิเรกลาภเกิดขึ้นแก่เราแล้ว สภาพจิตนั้นมีความยินดีอยู่หรือไม่ หรือว่าจิตของเรามันเฉยๆ อยู่ถ้าจิตของเรายังมีความยินดีอยู่ ก็เรียกว่าจิตของเรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าจิตของเรามันเฉยๆ อยู่ไม่มีความกระตือรือร้นก็เรียกว่า จิตของเรามันหมดจากตัวโลภะ ข้อที่ ๒ คือความโกรธ ถ้าหากว่าเมื่อจิตของเราไปประสบเหตุการณ์ขึ้นมา ถูกเขาด่าเขาว่าเราหรือว่าเขาจิตของเรามันแสดง ใส่ร้ายป้ายสีเราอะไรต่างๆ นานาความโกรธขึ้นมาให้เห็นหรือไม่ หรือว่ามันเฉยๆ อยู่ ถ้ามันแสดงความโกรธขึ้นมา ก็เรียกว่า จิตของเรายังมีกิเลสอยู่ถ้าจิตของเรามันเฉยๆอยู่ มีแต่คิดเมตตาสงสารเขา เห็นเขาสร้างบาปกรรมอันนี้เอาไว้ใส่ตัวเองหนอ ถ้าจิตของเราเห็นเป็นเช่นนี้ เรียกว่า จิตของเราหลุดพันจากความโกรธแล้ว ข้อที่ ๓ ก็คือตัวความหลง คือความไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อผลของกรรมนั่นเอง   เอาแต่จะได้จะมีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คิดถึงกรรมที่จะตามมาภายหลัง เมื่อเรากรรมเชื่อผลของกรรมแล้ว ก็เรียกว่า เราละความหลงได้แล้ว ข้อที่ ๔ คือตัวมานะ ความถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะ จิตใจแข็งกระด้าง เราเห็นบุคคลอื่นที่เขาอาวุโสกว่าหรือว่าภันเต เรามีจิตใจต่อบุคคลเหล่านั้นอย่างไรเมื่อ  จิตใจเราทำตัวตีเสมอท่าน หรือว่าข่มเหงรังแกท่านเหล่านั้นอยู่   ก็เรียกว่าจิตของเรามีกิเลสอยู่   เมื่อจิตของเรามีความเคารพในผู้ที่แก่กว่าเรา   เราก็ถือว่าเป็นพ่อเป็นแม่ครูบาอาจารย์   ผู้ที่มีอายุเสมอกับเรา   เราก็เรียกว่าสหายของเรา ผู้ที่อ่อนกว่าเราก็ถือว่าเป็นน้องหรือว่าเป็นลูกของเรา มีจิตใจอยู่ด้วยความเคารพในกันและกันอยู่ อย่างนี้ก็  เรียกว่า  ผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม  ข้อที่ ๕ ความเป็นมิจฉาทิฐิ    เห็นผิดเป็นถูกเห็น  ถูกเป็นผิด   โดยไม่ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดู   ให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เมื่อเขาเห็นถูกก็ว่าถูกไปตามเขา เขาเห็นผิดก็ว่าผิดไปตามเขา อันนี้เขาเรียกว่างมงาย คนเช่นนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอด

 ภูติ

พออยู่มาถึงวันออกพรรษาในวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดนั้นก็ได้ทำอุโบสถปวารณาออกพรรษา แล้วก็ได้ลาหมู่พวกไปที่กุฏิ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจจะดูความตายว่า มันจะเป็นอย่างไร ตอนหัวค่ำนั้นก็ได้เดินจงกรมอยู่ประมาณสักชั่วโมง แล้วก็ขึ้นไปบนกุฏิ ไหว้พระสวดมนต์ เข้านั่งสมาธิได้ประมาณสักชั่วโมงก็ได้ยินเสียงขึ้นมาในหูว่า… กูจะฆ่ามันให้ตายละวันนี้ เสียงพูดอยู่อย่างนี้ตลอดที่พื้นกุฏินั้น พร้อมทั้งเอาหลังดันกุฏินั้นจนแป้นพื้น (กระดานปูพื้น) นั้นดังอัดๆ แล้วก็เห็นในนิมิตนั้น รูปร่างนั้นใหญ่สูงตัวแดงเหมือนฝรั่ง เราเองก็เพ่งดูจิตอยู่ตลอดไม่ขาดว่ามันจะทำอะไรกับเราในเวลาไหน ต่อมาก็ได้ยินเสียงขึ้นไปบนกุฏิๆ ก็สั่นสะเทือนไปหมด จิตของเราก็เพ่งดูตัวมันอยู่ตลอด มันก็พูดอยู่แต่ว่า กูจะฆ่ามันละวันนี้ อย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นมันทำอะไรกับเรา ตัวเราเองก็รำคาญก็จึงได้แผ่เมตตาให้ มันก็ยังไม่รับเราเองก็ระลึกได้ที่เราดูในพระไตรปิฎกในเรื่องของพระยาเวสสุวรรณนั้น ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า หมู่ของพระสาวกของพระองค์ได้ไปประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่า ย่อมมีพวกภูติทั้งหลาย บางคนก็มีจิตใจโหดร้ายมาก บางตนก็มีจิตใจดีต่อพวกสมณะ แต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน ถ้าหากว่าภูติพวกไหนมีจิตใจโหดร้ายกับก็ให้สมณะเหล่านั้น ท่องบ่นสาธยายมนต์ของข้าพระองค์นี้เถิดพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามคาถามนต์ของพระยาเวสสุวรรณนั้นว่าอย่างไร พระยาเวสสุวรรณก็เล่าคาถานั้นให้ฟังว่า คาถา อาถานาฏิยะปะริตตังคาถาวิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะสิริมะโต… ผู้เขียนบอกไว้แต่หัวข้อเท่านั้น ผู้ที่จะท่องบ่นสาธยายให้จนจบนั้นให้ไปหาเอาในเจ็ดตำนาน และผู้เขียนก็ได้สวดพระคาถานี้ แล้วภูติตัวนั้นก็ได้ร้องขึ้นมาโดยทันทีว่า.. ผมกลัวแล้ว ๆ ๆ.. แล้วก็กระโดดกุฏินั้นลงไป วิ่งไปหาต้นทองหลางที่มันอยู่นั่น ได้ยินเสียงมัน บ่นพึมพำว่า… กูนี่ตายแล้ว กูจะต้องได้รับโทษแล้ว.. เราเองก็ได้ต่อสู้กับภูติตัวนั้นจนถึงดีสองมันจึงพ่ายแพ้เราไป ภูติตัวนี้มันฆ่าพระมาองค์หนึ่งแล้ว คือ พระอาจารย์มหาทองสุด ที่เป็นพี่ชายของอาจารย์ประสิทธิ์ที่เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดนั้นในปัจจุบันนี้เอง

ช่วยหลวงปู่บุญจันทร์

พอเสร็จจากงานต่อสู้กับภูติตัวนั้นแล้ว เราเองก็ได้ ลงไปที่จันทบุรี ไปหาหลวงปูบุญจันทร์อีก ได้ไปช่วยเย็บผ้ากฐินให้ ท่านพอรับกฐินแล้วไม่นาน พระหลวงตาองค์นั้น  ก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมา เอาไฟข้างนอกเข้ามาเผาในวัดก็เลยมีเรื่องระหองระแหงกันขึ้นมา หลวงปู่บุญจันทร์ก็ได้พาขึ้นไปที่ลำปาง

 วัดถ้ำแจ้ง  ( พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๑๑ )

ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำแจ้ง บ้านสันตันเปา ในปี ๒๕๑๑ เมื่อออกพรรษาแล้ว อาจารย์ไพบูลย์ก็ได้นิมนต์มารับกฐินที่วัดรัตนวราราม อำเภอพะเยา ในตอนนั้นจังหวัดพะเยายังเป็นอำเภออยู่วัดรัตนวรารามนี้กำลังสร้างใหม่ ๆ อยู่ ตัวเราเองก็ได้อยู่วัดนี้จนถึงเดือนสี่เพ็ง(กลางเดือนสี่หรือวันเพ็ญเดือนสี่) เราก็ได้มารำลึกถึงพวกเทพพวกภูมิที่เขาได้นิมนต์เราเอาไว้นั้น ผู้หญิงคนนั้นเขาคงจะเอาสามี (มีสามี) แล้วกระมัง แล้วก็คิดถึงหลวงปู่แหวน เพราะท่านก็แก่แล้ว มีแต่หลวงพ่อหนูปฏิบัติอยู่คนเดียว เวลาหลวงพ่อหนูได้รับนิมนต์ไป ที่อื่นหรือว่าหลวงพ่อหนูลงไปกรุงเทพฯ หลวงปู่แหวนก็ต้องอยู่คนเดียว

กลับสู่ดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่   ( พรรษาที่ ๘- พรรษาที่ ๒๕ )  พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๒๘)

ปี ๒๕๑๒ นี้ ได้ออกจากหลวงปู่บุญจันทร์ไปอยู่กับหลวงปู่แหวน ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปี ๒๕๒๘ ( ปีที่หลวงปู่เเหวนมรณภาพ ) ในปี ๒๕๑๒ นั้นได้จำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋งมีพระสี่องค์ด้วยกัน คือ หลวงปู่แหวน หลวงพ่อหนู  ตุ๊ทวี  ตุ๊กวาง ในพรรษาปีนั้นเกิดแปลกประหลาดขึ้นมาคงจะมีโชคลาภที่จะทำให้ วัดดอยแม่ปั๋งนั้น มีความเจริญขึ้นมาแล้วกระมัง มีวันหนึ่งเราเองก็ได้ออกไปต้มน้ำตั้งแต่เข้ายังไม่สว่าง พอสว่างก็ไปทำกิจวัตรของปู่แหวน เสร็จแล้วก็ลงมาที่หอฉัน ได้ยืนพิงฝาที่หอฉันนั้นอยู่ ก็ได้ลงไปที่ล้างบาตร ก็ได้ไปประสบเอาเห็นดอกกล้วยลำต้นมันแห้งตายมาแล้วไม่รู้ว่ากี่เดือนทุกๆ วันที่กำลังล้างบาตรอยู่นั้นก็ไม่เห็น เห็นแต่ก้านกล้วยที่มันแห้งนั้นเกาะอยู่กับตันอื่น ๆ อยู่ ในวันนั้นได้เหลือบดาไปเห็นก็เลยได้ไปบอกกับหลวงพ่อๆ จงมาดูดอกกล้วยนั่นซิ  มันจะได้ศาลาใหม่ ท่านกวางที่ยืนอยู่ด้วยกัน ก็พูดมาว่า “นั่นแหละมันขึด” (มันเป็นเสนียดจัญไร) หลวงพ่อหนูก็ตอบออกไปว่า “มันขีดที่ปากมันนั่นแหละ” หลวงพ่อหนูกับท่านกวางนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน ไม่ถูกจริงกันเอาเสียเลย แต่ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างนั้นแหละ พอต่อมาไม่นานก็มีพวกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาทอดผ้าป่าให้ ได้ปัจจัยประมาณ ๘,๐๐๐กว่าบาท ก็ได้เริ่มสร้างวิหารไม้หลังนั้นเป็นครั้งแรก กำลังปูพื้นวิหารอยู่นั้น เราเองตอนกลางคืนก็ได้นิมิตเห็น เป็นช้างเผือกมาเป็นฝูงเข้าไปกราบพระประธานที่วิหารนั้น เราเองก็ได้พูดกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ๆ ผมได้นิมิดเห็นช้างเผือกมาเป็นฝูงๆ หมู่เข้าหมู่ออก”หลวงปู่ก็พูดว่า “เฮ้ย…คนผู้หลักผู้ใหญ่เขาจะมา” เมื่อสร้างเสร็จแล้วฉลองวิหารแล้วในต้นเดือนมกราคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปพักแรมที่เชียงใหม่ ท่านก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่แหวนในปี ๒๕๑๔ นั้นเป็นต้นมาทุกๆ พระองค์  เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ หลวงปู่ก็บอกว่า “หลังนั้นเสร็จแล้วก็ได้สร้างขึ้นอีกหลังหนึ่งเป็นปูนนะทีเนี้ย” แล้วก็ได้สร้างจริงๆ ด้วย การก่อสร้างอะไรทุกสิ่งก็ปรากฏว่าในเรื่องปัจจัยนั้นไม่มีปัญหา มีแต่หลั่งไหลมาอยู่ตลอดการสร้างวิหารไม้หลังแรก หลวงพ่อหนูก็เริ่มทะเลาะกับคนงานผลสุดท้ายชาวบ้านที่มาทำงานช่วยนั้นก็หนีไปหมด ผลสุดท้ายก็เหลือแต่เรากับหลวงพ่อหนู เมื่อไม่มีใครที่จะดุด่าก็มาดุมาด่ากับเรา เราเองก็ได้หนีมานอนพักที่กุฏิ พอถึงเวลาทำกิจวัตรหลวงปู่แล้ว ก็ไปทำกิจวัตรหลวงปู่ ละให้หลวงพ่อหนูทำงานอยู่คนเดียว มีวันหนึ่งหลวงพ่อหนูทำงานคนเดียว เกิดพลังเผลอไปหลงจับไม้ที่ดีเพดานอยู่นั้นเกือบพลาดตกลงมา แต่มือก็คว้าจับไม้ไว้ทันหลวงปู่ได้รู้เรื่องเข้าท่านก็พูดออกไปว่า สอนแต่คนอื่นให้มีสติแต่ตัวเองก็ไม่มีสติ มีแต่สอนคนอื่นตัวเองไม่ทำตามตัวเราเองเมื่อหายจากความรำคาญแล้ว ก็จึงไปช่วยทำการก่อสร้าง ต่อมาก็ได้จ้างเหมาให้ชาวบ้านเขามาทำเองหลวงพ่อหนูก็ยังไปทะเลาะกับเขาอีก บางคนก็ทนได้ บางคนก็ หนีไป พอต่อมาก็มีพระอาจารย์คำบ่อเข้าไปช่วยงานก่อสร้าง ก็รู้สึกมีการเบาใจขึ้นมามีอยู่ครั้งหนึ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลฎีกา ไปกล่าวโทษหลวงปู่แหวนว่า ท่านเป็นคอมมิวนิสต์ สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจดันที่วัดดอยแม่ปั๋ง ก็ไม่พบศาสตราวุธอะไรสักอย่าพอกลับกรุงเทพฯมา ถึงจังหวัดแพร่ รถก็คว่ำตายในที่นั้นนี่แหละคนเราอยู่ดีๆ ไม่ชอบ หลวงปู่ท่านก็บวชตั้งแต่ยังเด็ก อายุได้สิบขวบเท่านั้น จะไปรู้จักปืนและระเบิดได้อย่างไร

ปรากฏการณ์กลางอากาศ กับ เหรียญหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง รุ่นแรก

ครั้นต่อมาก็มี ทหารอากาศ พันเอกจำรัส เทียนทองกับทหารอากาศฝรั่ง บินลาดตะเวนตรวจดูพื้นที่ ได้บินผ่านไปตรงที่วัดดอยแม่ปั๋ง พอใกล้จะถึงดอยแม่ปั๋ง ก็ได้มองเห็นพระรูปหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั้น ก็เลยขับหลีกเว้นไปที่อื่น พอกลับมาถึงฐานทัพแล้ว ก็ได้นั่งรถตะเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ ถามหาว่า ที่หมู่บ้านตรงนั้นมีพระอาจารย์อะไรอยู่ที่นั่น ชาวบ้านเขาก็ตอบว่า พระอาจารย์แหวนอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น เมื่อพันเอกจำรัส เทียนทองได้รู้แล้ว จึงได้ไปกราบหลวงปู่ แล้วถามหลวงปู่แหวนว่า”พระอาจารย์แหวนขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนเมฆได้อย่างไร”หลวงปู่แหวนก็ตอบว่า “บ่ได้ขึ้นไปดู๋ มันมีแต่มาบินข้ามหัวตุ๊เจ้านี้ ว่าตุ๊เจ้าเปิ่นนั่งภาวนาอยู่ ก็เอาเสียงมารบกวนตุ๊เจ้ามันเป็นบาปน่า…” พอผู้การจำรัส เทียนทอง ได้ยินดังนั้นแล้วก็เกิดความเลื่อมใส ได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาก็ได้ขอทำเหรียญหลวงปู่รุ่นแรก คือ ผู้การจำรัส เทียนทองเรียกว่า รุ่นทหารอากาศ ก็ได้แจกจ่ายทหารที่ทำสงครามกับพวกคอมมิวนิสต์  ทำให้พวกคอมมิวนิสต์แตกทัพไปไม่เป็นกระบวนกันเลย  ต่อมาก็ได้ทำเหรียญรุ่นเราสู้  รุ่นนี้ก็ไม่แพ้กับรุ่นแรก

 ยอดคนแห่งแผ่นดินกับกำเนิดเหรียญรุ่น

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสร้างไปแจกทหาร ตำรวจเรียกว่า รุ่น ภปร. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ขอสร้างเรียกว่ารุ่น สก. เอาไปแจกทหารตำรวจ เจ้าฟ้าชายก็ขอสร้าง เรียกรุ่น มวก. ฟ้าหญิงสิรินธรขอสร้าง เรียกรุ่นสิรินธร ล้วนแต่ไปแจกตำรวจ ทหารทั้งนั้นสงครามคอมมิวนิสต์จึงได้ลดน้อยถอยลงไปจนไม่มีเหลือตัวของข้าพเจ้าที่ได้อยู่กับหลวงปู่แหวนมา เห็นหลวงปู่แหวนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ของเรานี้ มีความรักกลมเกลียวกันมากทีเดียว ในตอนนั้นชอบมีการปฏิวัติกันบ่อยครั้ง หลวงปู่ท่านก็ได้แผ่เมตตาให้ในหลวงได้อยู่รอดปลอดภัย แล้วก็ได้แผ่เมตตาไปให้พวกที่กำลังปฏิวัติกันอยู่นั้นให้เลิกรากันไป หรือไม่อย่างนั้นก็ให้หนีไปลี้ภัยในต่างประเทศเสีย การแผ่เมตตาของหลวงปู่แหวนส่งไปให้พวกปฏิวัติ มีแต่พ่นควันบุหรี่ลงไปทางที่เขาปฏิบัติกันอยู่นั้นทุกครั้ง เมื่อหลวงปูท่านรู้ภายในจิตท่านแล้ว ท่านก็จะพูดออกมาว่า พวกเขาเหล่านั้นรับเมตตาแล้ว อยู่มาไม่นานก็มีเสียงประกาศออกมาทางวิทยุทันทีว่า เขาขอลี้ภัยแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระเจ้า อยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ของเราได้เสด็จไปอยู่ที่โคราชนั้นคราวนั้นหลวงปู่เป็นทุกข์มาก เพราะว่าแผ่เมตตาให้มันไม่ยอมรับเอาเสียเลย ท่านพูดออกมาว่าคนๆนี้ มันบอกดื้อนะอีตาสันเนี่ย หลวงปู่ท่านก็ยืนอยู่หัวทางจงกรมของท่าน แล้วท่านก็สูบบุหรี่ แล้วพ่นควันไปที่เขากำลังปฏิวัติกันอยู่นั่น ผลที่สุดพันเอกสันต์ก็ยอมรับ หลวงปู่พูดว่ามันรับแล้วที่เนี้ย  ต่อมาไม่นานก็มีเสียงประกาศออกมาทางวิทยุดังออกมา ขอยอมออกนอกประเทศแล้ว หลวงก็ได้เก็บเอาไว้ ปูท่านก็ยื่นกันบุหรี่มวนนั้นให้กับเราๆถวายในหลวง ตอนที่ท่านขึ้นมากราบทูลหลวงปู่ เราเองก็ได้เอาถวายในหลวงไปทุกครั้ง พระภิกษุสามเณรก็ได้หลั่งไหลเข้ามาอยู่ที่วัดดอยแม่ปัง แต่ละปี ก็มีอยู่ประมาณ ๓๐-๔๐ องค์ อาหารก็ฉันอดๆ อยากๆ เพราะอาศัยชาวบ้านเขาก็ไม่ไหว ในปี ๒๕๑๖ นั้น โยมโสภี อินทรทัต ได้ข้าไปปวารณาตัวเป็นลูกของหลวงปู่แหวน รับเป็นภาระในทางโรงครัว ทำอาหารเลี้ยงพระอยู่ตลอดปี จนถึงปีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่แล้ว จึงได้หยุด ค่าอาหารแต่ละวันนั้น อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ บาท ของอย่างอื่นอีกนับจำนวนราคาไม่ได้โยมโสภีเป็นเจ้าของบริษัท  เทวกรรมโอสถ ได้เป็นหัวเรือใหญ่คนหนึ่ง ได้ช่วยให้พระภิกษุสามเณร รอดพันจากความอดอยากไปได้  ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่นั้น โยมโสภีนี้ไม่เคยมีว่าจะได้อะไรจากทางวัดเลย มีแต่เสียสละอย่างเดียวไม่เหมือนคนอื่นๆ คนอื่นเขามีแต่วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่งตัวของเราเอง ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มาได้เป็นปีๆ ก็ไม่เคยได้อะไรจากวัดดอยแม่ปัง แม้แต่พระรูปเหมือนของหลวงปู่ก็ยังได้บูชาเอามาไว้กราบไหว้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เราได้รับความอิจฉา เพราะว่าเราเองก็ได้รู้เหตุการณ์ได้ดีหลวงปู่ท่านก็ได้แนะนำให้เราว่า อย่าไปยุ่งกับเขานะ  เรื่องเงินเรื่องทอง ให้ยุ่งกับปูนี่แหละ ก็พอแล้ว เราเองก็ได้ตรึกตรองตัวเราเองแล้วศรัทธาญาติโยมผู้ที่เลื่อมใสเราเขาถวายส่วนตัว ก็พอได้ใช้จ่ายอยู่ไม่ขาด และก็ยังได้ใช้ให้กับหลวงปู่ด้วยเป็นบางครั้ง หลวงปู่เจ็บเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ก็มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙)ได้โปรดจ่ายให้ทุกครั้ง เพราะว่าหลวงปู่เป็นคนไข้ของในหลวง หลวงปู่แหวนท่านเป็นคนโบราณจริงๆ เงินแบงค์สิบแบงค์ยี่สิบท่านก็ไม่รู้ หลวงปู่ท่านเห็นเงินแบงค์ กระดาษนั่น ว่าเป็นใบโฆษณาขายสินค้าเขา แล้วเอารูปของภูมิพ่อใส่ไปเป็นเครื่องอ้าง ในตอนนั้น เราเองก็จำไม่ได้ว่า เป็นคุณหลุยหรือว่าคุณหมอสุพจน์ ก็ไม่รู้ได้เอาย่ามใส่พร้อมอัฐบริขารไปถวายท่าน เมื่อหลวงปู่รับแล้ว เราเองก็ได้เอาไปไว้ที่นอนของท่าน เมื่อหลวงปู่เข้าไปที่นอนของท่านแล้ว ท่านก็ได้จับของ ในย่ามนั้นออกมาดูหมดทุกอย่าง แล้วก็เมื่อล้วงลงไปที่กระเป๋าใบเล็ก ก็ไปเจอ แบงค์สิบแบงค์ยี่สิบพอดี ท่านก็เอาออกมาว่า เป็นใน โฆษณาสินค้าอะไรเขาเนี่ย เอารูปของภูมิพ่อใส่ไปเป็นเครื่องอ้างเสียด้วย ตัวเราเองก็รู้ว่าเป็นแบงค์สิบ แบงค์ยี่สิบ นับดูแล้วก็มีอยู่สี่สิบ เราเองก็ได้ เอาไปให้โยมเขาแต่ว่า ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินเสียเพราะว่าหลวงปู่ท่านจับแล้วเงินค้อ เงินฮาง เงินเบี้ยนั้นท่านรู้ดี แต่ตัวเราเองกลับไม่รู้ว่าจะใช้จ่ายได้อย่างไรทีนี้จะย้อนกลับเข้ามาเรื่องของหลวงปู่แหวนกับในหลวงอีก เพราะว่าท่านทั้งสองมีความรักกลมเกลียวกันมาก ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อาพาธหนักหลวงปู่เองท่านก็ได้แผ่เมตตาไปให้ในหลวงอยู่ตลอด ตัวผู้เขียนเองนี้ก็ได้ฟังข่าววิทยุอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมากราบเรียนหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็ได้ทำของท่านอยู่ ไม่ขาดสายเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้หายจากอาพาธแล้ว ก็ได้ขึ้นมาพักแรมที่เชียงใหม่ ในหลวงท่านก็ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน เล่าเรื่องอาพาธของท่านให้หลวงปู่ฟัง ในหลวงท่านบอกว่าอาพาธครั้งนี้หนักจริงๆ ที่เขาออก ข่าวอยู่นั้นกระผมแทบเอาตัวไม่รอดเขาก็ออกข่าวปลอบใจประชาชาน ไม่ให้ประชาชนตกใจมาก กระผมได้สุบินนิมิตว่า ได้ขึ้นไปอยู่ที่ป่าเขาแห่งหนึ่งมีป่าไม้ร่มรื่นดีมาก แล้วก็เห็นหลวงปู่นั่งอยู่บนศีรษะของกระผม กระผมก็กราบไหว้

หลวงปู่แหวน จนอาการอาพาธนั้นได้หายสร่างออกๆ ถ้าไม่ได้เห็นหลวงปู่นี้คงจะมรณะแน่ๆ หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า…อือ.. การเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็เป็นธรรมดานั่นละก้ามีทวีละก้า  บอกข่าวอยู่ทุกวันๆ หลวงปู่แหวนท่านพูดกับในหลวงท่านก็พูดแบบธรรมดา เพราะว่าสมเด็จพระราชินีท่านก็ได้กราบเรียนหลวงปู่อย่างนั้นถือว่าเป็นกันเองทุกอย่าง

เรื่องของหลวงปู่หลุย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่หลุยท่านได้มาที่วัดดอยแม่ปั๋งกะว่าจะอยู่กับหลวงปู่แหวนไปสักพักหนึ่งก่อน เพราะว่าเป็นคนจังหวัดเลยด้วยกัน พออยู่ต่อมา หลวงปู่หลุยได้ยินข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมากราบหลวงปู่แหวน หลวงปู่หลุยได้ยินดังนั้นก็รีบหนีไปอยู่ที่อื่นไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง หลวงปู่หลุยท่านกลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น หลวงปู่หลุยท่านพูดว่า “พูดกับพระราชาไม่เป็น นี่คอขาดบาดตายนะเรา เป็นพระป่า พระดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร” ท่านพูด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) เสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแล้ว หลวงปู่แหวนท่านก็พูดกับในหลวงว่า “ท่านหลุยก็มาอยู่นี่แหละ แต่หนีไปอยู่ที่แม่แตงแล้ว กลัวพูดกับพระราชามหากษัติย์ไม่เป็น กลัวคอขาดบาดตาย ว่าอย่างนั้น”สมเด็จพระราชินิก็พูดออกมาว่า “ไม่เป็นอย่างนั้นดอกเจ้าข้า พวกดิฉันไม่ถือยศบรรดาศักดิ์อะไรหรอกเจ้าข้า พูด แบบนี้เป็นกันเองนี้แหละเจ้าข้า”แล้วพระราชินีก็พูดกับ หลวงปู่แหวนว่า “เมื่อดิฉันกลับจากนี่ไปแล้ว จะไปกราบ  หลวงปู่หลุยให้ได้ไม่ต้องกลัวเจ้าข้า” ในหลวงท่านเสด็จ มากราบหลวงปู่แหวนแต่ละครั้ง ตั้งแต่บ่ายสองจนถึงหนึ่งสองทุ่มเป็นประจำ การเสด็จวัดดอยแม่ปั๋งแต่ถือว่าเป็นการส่วนตัวของพระองค์เอง ครั้นต่อมาสมเด็จราชินีได้ให้ราชเลขาไปตามหาหลวงปู่หลุย ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็ไปเห็นท่านหลวงปู่หลุยอยู่ที่วัดหลวงปูซื้อ หรือา

วัดอาจารย์เปลี่ยนก็ไม่รู้ ตอนนั้นผู้เขียนนี้ จำไม่ค่อยได้สมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่หลุย ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่หลุยก็ได้เข้า ๆ ออก ๆ อยู่กับพระราชวังตลอดมาจนถึงเวลาหลวงปู่หลุยมรณภาพอันนี้คือด้วยอำนาจพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยของพวกเรา ได้เข้าถึงประชาชนทุกที่ทุกแห่งหนตำบลใดก็ตาม มีพระเจ้า พระสงฆ์ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าเขาที่ไหนๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมเข้าถึงที่ทุกๆ แห่ง

พระหัวโจก

ข้าพเจ้าเอง คือผู้เขียนนี้ ได้มีความเสียใจกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับงานศพของครูบาอาจารย์ต่างๆมีการต่อต้านกันขึ้นมา ทำให้เสียชื่อเสียงของพระเราไปหมด คือมีพระหัวโจกหัวแข็งคนหนึ่ง ไปปันป่วนหมู่พวกขึ้นมาแล้วก็พากันต่อต้านว่าอย่างโน้น อย่างนี้ขึ้นมาผลสุดท้ายงานพระราชพิธีนั้น ก็ไม่ได้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวของเราตั้งแต่นั้นมา การไปขอพระราชทานเพลิงศพครูบาอาจารย์ ต่อมาภายหลังท่านจึงไม่ค่อยจะปลงพระทัยไปมากนัก เพราะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกับอย่างเก่าที่เป็นมาแล้ว คือพระเราไม่ได้คิดถึงคำนึงถึงที่ท่านได้อุปถัมภ์ค้ำชูมา การที่หลวงปู่แต่ละท่านที่ได้เจ็บป่วยไข้มา ท่านก็ได้รับเอาไว้เป็นคนป่วยในพระราชูปถัมภ์ ตัวอย่างที่ข้าพเจ้าได้เห็นอยู่กับหลวงปู่แหวนนี้นั้น หลวงปู่แหวนได้เข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ในหลวงท่านก็ได้จ่ายไปเป็นเรือนแสน ยาและอาหารไม่มีในเมืองไทย ก็ต้องไปเอามาจากเมืองนอก สตางค์ของหลวงพ่อหนูเองก็ไม่ได้จ่ายแม้แต่สตางค์เดียว มีแต่ไปกินกับหลวงปู่นี้ แล้วพระฝ่ายปฏิบัติของเราทำความเสียมาก ไม่สมกับพระปฏิบัติที่ข้าพเจ้าได้เขียนลงไปแล้วนี้ไมใช่ข้าพเจ้าเขียนประจาดประจานหมู่พวก หมู่คณะเพราะว่าหมู่พวกหมู่คณะนั้นประจาดประจานตัวเองไปก่อนแล้วทั้งนั้น ส่วนที่จะเขียนต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องที่มันเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มันยังไม่เกิด ถ้าใครได้อ่านแล้ว ถ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดก็ให้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองถ้าเราไม่ได้ทำความผิด ก็ให้เรารักษาตัวเอาไว้อย่าไปคิดที่อยากจะทำให้เราเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม การทำกรรมดีได้ดี การทำกรรมชั่วได้ชั่วจริง คนที่ทำกรรมชั่วผลกรรมชั่วก็ให้ผล อยู่ แต่ว่าคนพาลนั้นย่อมไม่รู้ว่ากรรมชั่วนั้นไม่ให้ผล

ซึ้งใจในธรรมะของหลวงปู่แหวน

มีวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนท่านสอนศรัทธาญาติโยม ที่เป็นธรรมติดแนบเนียนอยู่ในจิตในใจของข้าพเจ้าเอง คือท่านพูดว่า “ให้เรารักตัวเราให้เราสงสารตัวเราถ้าเราไม่สงสารตัวเรา แล้วใครจะสงสารเรา เราทำความชั่ว ก็คือเราทำลายเรา เราอิจฉาเรา เราทำพยาบาทตัวเรานั่นเอง” เมื่อเราได้ยินธรรมมะข้อนี้แล้ว เราจึงได้นำเอาไปพิจารณาดูก็เห็นตามความเป็นจริง ขึ้นมาทีเดียว

เสือ เจอ สิงห์

ในคืนหนึ่ง เราเองก็ได้นิมิตเห็นลูกไฟลูกหนึ่งแล้วก็มาเวียนรอบในตัวของเราเอง ตกลงมาแต่อากาศถึงสามรอบ แล้วก็แตกกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศแต่ไม่ถูกต้องตัวเราแม้แต่นิดเดียว ต่อมาไม่นานนักก็มีพระองค์หนึ่งสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา ชอบไปทะเลาะกับพระกับเณรทั้งวัด แม้แต่ชาวบ้านก็ยังได้รับผลพลอยตามไปด้วยแกก็แสร้งทำตัวเป็นผู้หมดกิเลส เป็นผู้มีศีลมีธุดงค์อย่างเคร่งครัด ตัวของผู้เขียนนี้ก็รู้อยู่ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเราเป็นคนอมโป้ (อมนิ้วหัวแม่มือ หมายถึง คนโง่) ตัวเราก็ได้สังเกตดูมันไปเรื่อย ๆ ต่อมามีญาติโยม ได้เอาผ้าจำนำพรรษาให้พระท่านตัด พระองค์นั้นก็ได้ไปพูดจา เสียดแทงเขา เขาไม่พอใจก็ไม่มีใครจะตัดเอาผ้าจำพรรษาเลย ก็มีพระองค์หนึ่งเข้าไปหาเราที่กฏิหลวงปู่นั้น พูดว่า “ดูซิว่า พระเณรองค์ไหน จะมีกิเลสมากน้อยกว่ากัน” เมื่อเราได้ยินแล้ว ตัวเราเองก็พูดขึ้นว่า ผมนี่แหละเป็นผู้มีกิเลสหนา จะพาหมู่พวกไปตัดเอาพระเณรทั้งหลายก็ได้ตามเราไปตัดเอาทุกๆ องค์แล้วเราก็ได้แนะนำพระเณรทุกองค์ว่า อย่าไปตัดเย็บให้มันนะ พระอรหันต์ให้มันตัดเย็บเอาเอง ผลสุด ท้ายพระองค์นั้น เมื่อตัวเราเองตัดผ้าเย็บผ้าห่มห่อ ไข่หำตัวเองก็ไม่เป็นก็ละอายหมู่พวก แล้วก็กลับไปเยี่ยมบ้านแกเองก็ยังกลับเข้าไปที่วัดดอยแม่ปิ้งอีก หลวงพ่อหนูได้จัดการให้เรากับท่านสมัยเป็นผู้ดูแลพระเณรและชี ให้ท่านสมัยเป็นผู้ดูแลพระเณร ส่วนทวีให้ดูแลพวกแม่ชี พระองค์นั้นกลับมาอาละวาดอีก ลุกลามไปถึงแม่ชีด้วย ท่านสมัยก็ปกครองพระไม่อยู่ มีพระองค์หนึ่งได้เข้าไปหาเราที่กุฏินั้นอีก เขาพูดว่า เขาจะฆ่าพระองค์นั้นนะ ท่านอาจารย์ เทฝนมีดไว้หมดแล้ว เมื่อเราได้ยินดังนั้น ก็ได้เข้าไปหาพระเณรในเวลาที่เขากำลังฉันน้ำร้อนน้ำชาอยู่นั้น เราเองก็ได้ห้ามเขา แล้วก็ได้ให้เหตุผลแก่พระเณรในตอนนั้นว่าพวกเราอย่าไปทำอย่างนั้นนะ เพราะว่ามันไม่ดี มันเสีย  ชื่อเสียงของวัด หลวงปู่เองท่านก็ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว  ทั้งในและนอกประเทศ ญาติโยมเขาก็อยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างจังหวัด เขาก็ยังได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ ไอ้พวกเราก็อยู่ในวัดเดียวกัน แท้ๆ ทำไมจึง ไม่ยอมรับความเมตตาจากหลวงปู่เล่า พวกเราจะพากัน เป็นเปรตเป็นผีกัน อยู่ได้ยังไง ให้ช่วยกันเอาขันติอดกลั้นทนทานเอาไว้ เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ต่างคนต่างไปดอกนะ เมื่อที่พระเณรได้ยินเราให้โอวาท แนะนำอย่างนี้แล้วเขาก็ยอมรับยอมจำนนต่อคำสอนของเรา ต่อมาไม่นานพระ องค์นั้นก็ได้มาพูดกับพระองค์หนึ่งว่า ได้นิมิดเห็นไก่แม่ขาวกับไกผู้แดง มันโคมกันอยู่ (ไก่ตัวเมียสีขาวกับไก่ตัวผู้สีแดงมันขี่กันอยู่) อันนี้มันจะเกี่ยว เข้ามาหาเราเสียแล้ว เพราะเราเป็นผู้ดูแลและปกครองทางฝ่ายแม่ชีๆ เขาปฏิบัติเราเป็นอย่างดีด้วย เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วเราเองก็พูดกับพระองค์นั้นว่า ท่านพูดใส่ร้ายป้ายสีกับผมนั้น ไม่เป็นไรดอกนะผมไม่ทำอะไรกับท่านดอก แต่ผมเตือนท่านไว้ก่อนนะท่านอย่าไปพูดด่าว่าเสียๆ หายๆ กับบุคคลผู้ที่จิตใจเขาเป็นเปรตเป็นผีอยู่นั้น ตัวของท่านจะรู้ตัวของท่านเองดอกพออยู่มาไม่นานก็ไปทะเลาะกับ พระอีกองค์หนึ่ง แล้วทีนี้เสือกับสิงห์ก็ไปเจอกันจนได้ ไอ้เสือซี่โครงหักไปสามซี่ ไอ้สิงห์ไม่เป็นอะไร ตั้งแต่นั้นมาไอ้เสือเกิดวิกลจริตขึ้นมากลัวแต่คนจะมาฆ่าตัวเอง ต่อมาพวกญาติได้รู้เรื่อง จึงได้แนะนำให้มาสมมาคารวะท่านอาจารย์ทวีเสียมันจึงจะหายถ้าไม่ไปมันก็ไม่หายพระองค์นั้น จึงได้มาตามความเห็นของพวกญาติ เมื่อพระองค์นั้นมาถึงเราแล้วเราก็ถามว่า”มาทำอะไร” เขาตอบว่า “ผมจะมาขอสมมาคารวะท่านอาจารย์..” “อ้าว…ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ใช่หรือ ผมองก็เป็นพระที่มีกิเลสตัณหา เป็นปุถุชนคนพาลอยู่ ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างท่านมันไม่สมควรที่จะมาสมมาคารวะพระปถุชน” พระองค์นั้นก็ได้พูดขึ้น “ผมขอคาบหญ้าคาบดิน ผมได้ทำผิดท่านอาจารย์แล้ว”เราเองรับแล้วก็ได้ให้โอวาทพระองค์นั้นว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปอย่าได้พูดอีกนะถ้าพูดขึ้นมาอีก คำที่ได้ยอมรับ สมมาคารวะนี้จะไม่สำเร็จต่อจากนั้นมาอาการวิปริตของพระองค์นั้นก็ค่อยหายไปจนเท่าทุกวันนี้ คือ คนเราพูดอะไรก็พูดไปเรื่อยเปื่อยไปหมด ไม่คิดถึงธรรมวินัยของตัวเอง การใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขา มีมูลความจริงหรือว่าไม่มีมูลความจริง พระวินัยมีอยู่ไม่ใช่หรือ

คนชัง ผีรัก

ตัวของข้าพเจ้าเอง นับตั้งแต่คลอดออกจากผ้าซิ่นของแม่มาจนถึงทุกวันนี้ และมาจนถึงวันที่เขียนประวัตินี้ก็ยังไม่เคยผ่านเลยเรื่องผู้หญิง ไม่เคยรู้รสชาติกับเขาเลยตัวของเรารู้ตัวของเราเอง ดีกว่าคนอื่นเขา คนอื่นก็มีแต่เพียงว่าข้อกล่าวหาเท่านั้น ต่อมาประมาณสักปีสองปีเราก็ได้นิมิตเรื่องเก่านี้อีก เป็นครั้งที่สอง แต่ว่าเห็นลูกไฟลูกหนึ่งลอยมาจากทิศใต้แล้วก็มาเวียนรอบเราแล้วก็ตกลงแตก ห่างไกลจากตัวเราประมาณสักสิบเมตรแล้ว ก็แตกแต่ก็ไม่ได้ถูกตัวเราแม้แต่น้อยเลย ไม่นานก็มี ผู้หญิงคนหนึ่งมาจากกรุงเทพฯ ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกศิษย์ของพระองค์นี้เหมือนกัน ผู้หญิงคนนี้นั้นเขาพูดกันว่า เป็นนักเลงคนหนึ่ง ดูแล้วสักลายเต็มตัวเหมือนกับผู้ชาย ผู้หญิงนี้วันนั้นเขาได้ให้คนขับรถเอาน้ำใส่ถัง แล้วไปให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์ให้ หลวงปู่ท่านก็ทำให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วหลวงปู่ท่านก็ให้พร แล้วก็รดน้ำมนต์ให้ด้วย (พรมน้ำมนต์ให้) แล้วตัวเราเองก็เอาหลวงปู่เข้าไปข้างในแล้วจึงออกมาเก็บของ และทำความสะอาด ผู้หญิงคนนั้นก็ให้คนขับรถเอาถังน้ำมนต์ดังนั้นไปเททิ้งรดต้นไม้ตรงที่หน้ากุฏิของหลวงปู่นั้น แล้วก็บังดับให้คนขับรถเอาน้ำใส่ถังเข้ามาให้หลวงปู่ใหม่ เราเองก็ไม่กล้าที่จะเอาไปให้หลวงปู่ทำอีก เพราะว่าท่านทำให้แล้ว เราเองก็ได้เอาไปตั้งไว้ที่ห้องน้ำนั้นประมาณเวลาพอสมควร แล้วก็ยกเอาไปให้ผู้หญิงคนนั้นก็เอาไปถึงกรุงเทพฯ พระอาจารย์ของหญิงคนนั้นก็เขียนจดหมายส่งไปบอกผู้หญิงคนนั้นก็โกรธให้เราอย่างแรง เขาบอกว่าจะมาประจันหน้ากับเรา มันพูดขึ้นมาว่า “ท่านทวีนี้ไม่รู้จักพรทิพย์หรือ” เราเองก็พูดไปกับอาจารย์ของมันว่า”ทำไมจะไม่รู้ว่าพรทิพย์” พระทั้งหลายก็พูดขึ้นมาว่าอาจารย์ทวีเจอศึกหนักแล้ว หลวงพ่อหนูก็พูดว่า ตุ๊วีเจอศึกหนักแล้วทีนี้ เราเองก็ได้พูดออกมาว่า “ให้พรทิพย์ขึ้นมาเลย เมื่อมาแล้วก็ต้องมาให้ถึง” พอผู้หญิงคนนั้นมาจะขึ้นถ้ำขุนตาล เวลาประมาณตีสามดีสี่นั้น ก็ไม่รู้ว่ารถอะไรได้ลงไปจากถ้ำขุนตาล ก็ไปบวกเอากับรถตู้ของคุณพรทิพย์นั้น รถเป็นเศษเหล็กไป ตัวคนก็เข้าขั้นโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลลำปางเสีย ส่วนสามีของคุณพรทิพย์นั้นก็ได้ส่งข่าวสารไปที่วัดดอยแม่ปิ้งว่า คุณพรทิพย์ได้ถูกรถชนกันอยู่ที่ถ้ำขุนตาลแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ หลวงพ่อหนูได้ยิน ดังนั้น…. โท..ตุวีนี้ มีฤทธิ์เดซถึงขนาดนั้นเชียวหรือ..พระเณรทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็พากันมองหน้ามองตากันเป็นแถว ตัวเราเองก็นึกอยู่ในใจว่า… ระวังแต่หลวงพ่อหนูก็แล้วกัน… แต่เราเองก็ไม่อยากออกปาก นี่แหละเขา  เรียกว่า…คนชัง ผีรัก… คนเรามองกันเห็นกิริยาแต่  ภายนอก ส่วนภายในนั้นไม่มีใครมองเห็น แต่พวกเทพเจ้า  ทั้งหลายเขารู้ได้ดีกว่ามนุษย์เสียอีก นี่แหละคนเรา ทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้มันก็ให้ผลอย่างนี้ แต่มันให้ผลอย่างนี้แล้วมันก็ยังไม่เชื่อว่ากรรมนั้นไม่ให้ผล ยังดื้อดึงขืนทำอยู่นั่นแหละบุคคลชั้นนี้ คือ ชั้นปทะปรมะพระพุทธเจ้าท่านปล่อยทิ้งแล้ว ท่านไม่ได้เยื่อใยอาลัยแล้ว ปล่อยไปตามกรรมของสัตว์เอง จนกว่าจะรู้สึกตัวเขาเอง เมื่อรู้ตัวเองจะแก้ไขอะไรก็แก้ไม่ได้เสียแล้ว มีแต่เสวยผลกรรมไปจนสิ้นสุดนั่นแหละ ตัวกิเลสตัวพญามาร มันขี่คอหัวจิตหัวใจอยู่นั้นนะทำไมจึงไม่รู้ มันพาสร้างทางไปนรกอเวจี เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉาน อยู่ทุกวันทุกคืน ยังไม่รู้ตัว มีญาติของหลวงพ่อหนูคนหนึ่งเคยพูดว่า จะเป็นอย่างไรๆ ในชาตินี้ ก็ขอให้มีอยู่มีใช้มีกินไว้ก่อนเถอะ ในชาตินี้ชาติหน้าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เมื่อตายไปแล้วไม่มีใครรู้เราดอก ตัวเราเองก็ได้ตอบเขาไปว่า ใครเล่าอยากจะไปกับคุณ แม้แต่คุณกำลังจะตายอยู่นั้น ก็ให้รีบกอดคอแม่บ้านของคุณดูซิ ถ้าแม่บ้านของคุณไม่ไปหารดน้ำมนต์เสียแล้ว

คนละเส้นทาง

มีอยู่คืนหนึ่ง เรานิมิตได้ไปกับหลวงพ่อหนู แต่ว่าเดินทางคนละเส้น แต่หนทางนั้นก็เรียงกันไปนั่นแหละเมื่อเดินไปถึงที่แห่งหนึ่ง ก็มีคลองลึกจนเรามองไม่เห็นพื้นล่างแต่ก็มีสะพานข้ามคลองนั้นคนละสะพานกันสะพานของเรานั้นมีไม้อยู่สามลำด้วยกัน แล้วมีราวจับด้วย เราก็เดินข้ามไปได้อย่างสบาย ส่วนของหลวงพ่อหนูนั้น เป็นสะพานไม้ขด ๆ งอๆ เหมือนกับข้อศอก พอหลวงพ่อหนูได้เดินไต่ข้ามไปถึงตรงที่มันขดๆ นั้น ไม้ก็ได้พลิกคว่ำลงไปถึงกันเหวลึกนั้น ไม่เห็นโผล่ขึ้นมาเลย เราเองก็ได้เดินตามทางของเราไป ขึ้นไปบนดอยแห่งหนึ่ง มีอากาศเย็นสบายมาก หาความสุขที่ไหนไม่เหมือนที่นั่นเลยเมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้แล้ว เราเองไม่ควรเดินแบบอย่างหลวงพ่อหนูเลย เราจะต้องไปหาที่อย่างนั้นให้ได้ต่อมาในคืนหลังก็ได้นิมิตไปเห็นที่อยู่แห่งหนึ่ง เป็นป่าติดกับเชิงเขา มีความเยือกเย็นสบาย แต่ก็มีควายหงาน (ควายเกเร) ตัวหนึ่งจะมาไล่ชน แต่มันก็มาไม่ได้ถูกโซ่ตรวนเส้นใหญ่ ๆ มัดติดอยู่กับคอไม่สามารถจะมาหาเราได้ผลสุดท้ายควายหงานตัวนั้นก็นิ่งม่อย (ตาย) ไปเลยแล้วก็เห็นบุคคลหนึ่ง เป็นบุคคลชั้นสูงสุดของประเทศได้เอาม้าขาวมาสองตัวมารับเอาเราไป ท่านก็เอาตัวหนึ่ง ให้เราตัวหนึ่ง แล้วก็ขึ้นขี่ม้าก็ได้พาเหาะขึ้นไปบนอากาศเข้ากลีบเมฆไปเลย เมื่อเราได้นิมิตอย่างนี้แล้ว จิตใจก็คิดอยากไปหาที่อยู่ ไปหาตั้งเนื้อตั้งตัวของเราเองจะดีกว่านี้เราอยู่ที่นี่มีแต่มรสุมอยู่กับหัวจิตหัวใจอยู่ตลอด เราเองก็ได้เข้าไปหาหลวงปู่ “ผมเองอยากจะไปหาที่อยู่ใหม่หลวงปู่” หลวงปู่ก็พูดว่า “ถ้าจะไปก็ให้ไปหาอาจารย์มหาบัวดูซิเราจะไปอยู่ด้วย” ในปีนี้หลวงตามหาบัวก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลเป็นโรคหัวใจ “โอย… ปูเอย…หลวงตามหาบัวก็ยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว” “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ไปหาอาจารย์เทสก์ วัดหินหมากเป้งไป” “หลวงปู่เทสก์เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่โรงพยาบาลอยู่ ท่านเป็นโรคหลอดลมอักเสบ เทศน์ก็ไม่ค่อยได้” “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาท่านเจ้าคุณวัดเลยหลงดูซิ” เราเองก็ได้คัดด้านหลวงปู่แหวนขึ้นมาว่า “จะกลับไปอยู่บ้านเรา ผมไม่ไปหรอกหลวงปู่ ถ้าผมเอาหลวงปู่ไปอยู่ที่บ้านเรานั้น จะทำให้ผมไปตกนรกทั้งเป็นเสียแล้ว”หลวงปู่ท่านก็พูดขึ้นมาว่า “เอ้า… ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปไหน เราไม่ไปทวีก็ต้องไม่ไป ให้อยู่กับปูนี้จนปู่หมดภาระเสียก่อน แล้วจึงค่อยไป ไปแล้วอย่ากลับมาอีกนะ” “ผมไม่มาอีกหรอกกระผม” ที่ข้าพเจ้าอยากจะหนีไปจากดอยแม่ปั๋งนั้นไม่ใช่อื่นไกลที่ไหนดอก เพราะว่าการเบิกใช้เบิกจ่ายอะไรก็ยาก การเบิกจ่ายนั้นก็ไม่ได้เอาไปใช้ส่วนตัว เบิกไปใช้ส่วนรวมมีน้ำและไฟเท่านั้น เพราะว่าศรัทธาญาติโยมก็มากขึ้นทุกๆวัน ทั้งที่ศรัทธาญาติโยมเขาถวายมา แต่ละคนเขาก็ต้องอยากจะให้ใช้จ่ายและบริหารอยู่ในวัดนี้เท่านั้นให้เราไปซื้อสิ่งของอะไร แม้แต่ราคาบาทเดียวก็จะให้เอาใบบิลไม่รู้ว่าใครเขาจะให้ แต่ว่าญาติของหลวงพ่อหนูนั้น มาขอเอาไปใช้ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสน ทำไมจึงไม่มีใบบิล ทั้งที่สตางค์นั้น ศรัทธาเขาก็ถวายเพื่อสงฆ์ ให้ใช้ในสงฆ์เท่านั้น ถ้าใครอยากรู้เรื่องนี้นั้น ให้ไปอ่านดูในเรื่องเปรตวัตถุดูก็แล้วกันในเรื่องต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงเรื่องกรรมของหลวงพ่อหนู มีทั้งอดีตซาติปางก่อน และในชาติปัจจุบันที่ได้ทำให้เกิดมีขึ้น บุคคลใดได้อ่านหนังสือที่ผู้เขียนเขียนนี้ จะมีทั้งบัณฑิตและคนพาล ย่อมจะไม่เข้าใจและเข้าใจต่างกันคนพาลก็เข้าใจ ไปอย่างหนึ่ง บัณฑิตก็เข้าใจไปอย่างหนึ่งบุคคลทั้งสองนี้ ไม่เหมือนกัน คนพาลก็จะหาว่าผู้เขียนนี้โจมตีหลวงพ่อหนู ถ้าเป็นบัณฑิตแล้วจะพูดว่า หลวงพ่อหนูนั้นท่านทำกรรมไว้อย่างไรก็ได้รับอย่างนั้นปัจจัยของสงฆ์ลูกหลานมาขอเท่าไรก็ให้ไปเท่านั้นลูกหลานก็มีแต่มาขอเอาไปใช้อย่างเดียว ไม่มีลูกหลานคนใดเลยที่จะมาปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อหนูๆ ก็ได้แต่ผูกปิ่นโตกินกับชาวบ้าน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็มีแต่ชาวบ้านกับพระต่างถิ่นต่างจังหวัดเท่านั้นเป็นผู้ดูแล บุคคลใดที่ขึ้นไปวัดดอยแม่ปิ้งก็จะได้ลูกอ้อเห็นกับหูกับตาของตัวเองทุกๆ คนไปว่า มันต่างกันกับหลวงปู่แหวนยังมีชีวิตอยู่นั้น กับปัจจุบันเป็นอย่างไร มีบางคนถึงกับน้ำตาร่วง ที่เขาได้มาพูดให้ผู้เขียนฟังว่า มันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ท่านอาจารย์ทวีอยู่เลย ที่ตัวของข้าพเจ้านี้ได้หนีออกมา ก็เพราะมีภัยคุกคามในตัวของเราเองมาก จะอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับตัวของเราเลย พระลูกพระหลานของหลวงพ่อหนูเขาจะมีแต่จะปองเอาชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ในวันที่ข้าพเจ้าเองได้ออกเดินทางจากจังหวัดดอยแม่ปังมานั้นก็มีเณรตามมาส่งบาตรข้าพเจ้าถึงที่บ้านหนองบวกข้าวนั้นเณรเขาก็กลับไป ถึงวัดดอยแม่ปิ้งแล้วก็มีพระลูกพระหลานของหลวงพ่อหนูนั้นเตะเอาจนสลบ ไปพื้นที่โรงพยาบาลพร้าว พออยู่ต่อมาพระลูกหลานของหลวงพ่อหนูก็ได้ไล่ฆ่าไล่ฟันพระองค์อื่นอีกเหมือนกับไล่ฟันวัวควายจนจะไม่มีพระอยู่ดูแลศพของหลวงปู่แหวน เพราะเขากลัวอิทธิพลของหลวงพ่อหนู ในเรื่องราวของข้าพเจ้าผู้เขียนนี้นั้น จะผิดหรือถูกก็ให้ผู้อ่านจงใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกัน ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเป็นคนผิด ข้าพเจ้าจะรับผลกรรมผิดอันนี้ในตัวของข้าพเจ้าคนเดียว แต่ถ้าหากข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ขอให้ช่วยเป็นกำลังใจแก่ผู้เขียนบ้าง เรื่องราวของมันก็เป็นอย่างนี้

หลวงปู่แหวนอาพาธหนัก

หลวงปู่แหวนได้ป่วยหนัก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านได้อาราธนาให้หลวงปู่แหวนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ตึกสุจิณฺโณ ในหลวงท่านได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง มีวันหนึ่งพระลูกหลานของหลวงพ่อหนู ได้โทรไปหาหลวงพ่อหนูที่โรงพยาบาลว่ารูปเหมือนของหลวงปูนั้นหมดแล้ว ยังเหลือแต่ที่ไม่ได้ปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อหนูได้ยินดังนั้นแล้ว จัดการที่จะเอาหลวงปู่แหวนกลับมาวัด เพื่อที่จะปลุกเสกรูปเหมือน ในเรื่องนี้แล ทำให้ผู้เขียนนี้กับหลวงพ่อหนูได้ทะเลาะ เกิดความไม่พอใจในกันและกันขึ้นมา หลวงพ่อหนูก็จะเอาหลวงปู่กลับวัดให้ได้ คุณหมอทั้งหลายก็กลัวหลวงพ่อหนูเพราะว่าหนูมันดุ หรือมันชั่วนั่นเอง ตัวของผู้เขียนเองคิดขึ้นมาในจิตในใจของตัวเองว่า มันจะเป็นอย่าให้มันเป็นตามเรื่องของมันเถอะ จึงได้ให้ข้อคิดข้ออ่านแก่พวกหมอนั้นว่า หลวงปู่นั้นยังป่วยหนักอยู่ ยังไปไม่ได้เลือดน้อยเลือดจางอยู่ พวกคุณหมอทั้งหลายไปขอก็ไม่ ฟังเสียงใครทั้งนั้น ตัวเราเองก็ได้แนะนำให้ไปหาผู้ว่าไซ มาขอช่วยแต่หลวงพ่อหนูไม่ยอมฟัง เราเองก็แนะนำให้โทรไปหาพระเจ้าอยู่หัวนั้นมาช่วยขอ คุณหมอก็ได้โทรเข้าไปที่ราชสำนัก ทางราชเลขาสำนักราชวังก็ได้โทรมาขอกับหลวงพ่อหนูอีก แต่หลวงพ่อหนูก็ยังไม่ยินยอม จะเอาหลวงปู่กลับวัดดอยแม่ปั๋งให้ได้ ทางสำนักราชวังเขาได้คุยกับหลวงพ่อหนูว่า ผมจะหาหมายเลขโทรศัพท์ในหลวงให้แล้วแต่หลวงพ่อหนูจะพูดกับในหลวงเอง ในเวลากำลังหาหมายเลขโทรศัพท์อยู่นั้น หลวงพ่อหนูก็ได้วิทยุไปที่โรงพยาบาลพร้าว ให้เอารถตู้โรงพยาบาลพร้าวมารับหลวงปู่กลับวัดดอย ตัวเราเองก็ได้วิทยุไปสับทางโรงพยาบาลพร้าวว่า ไม่ให้โรงพยาบาลพร้าว เอารถมารับหลวงปู่เพราะหลวงปู่นั้นยังมีอาการหนักอยู่ ผลที่สุดก็จวนค่ำ ทางราชวังก็ยังไม่แจ้งหมายเลขของในหลวงมา หลวงพ่อหนูก็ได้โกรธให้เราอย่างแรง ถึงกับออกปากมาว่า “ในหลวงอะไรก็ในหลวง ตุ๊วีนั่นแหละ” แล้วหลวงพ่อหนูก็ได้กลับวัดดอยแม่ปิ้งคนเดียว ประมาณสองทุ่มระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โทรมาพูดคุยกับหลวงพ่อหนูที่วัดดอยแม่ปิ้งหลวงพ่อหนูจึงได้โกรธจัดให้กับเรา แล้วท่านจึงได้เอาผ้าไตรผ้าไหมที่ญาติโยมมาถวายนั้น เป็นรางวัลค่าจ้างให้พระลูกหลานนั้นปองเอาชีวิตเราให้ได้ เราเองก็ได้รับรู้เรื่องราวอันนี้กับหมู่เพื่อนที่รักกันอยู่ มาบอกเล่าให้ฟังว่าท่านอาจารย์จงระมัดระวังตัวให้ดีนะ หลวงพ่อหนูได้เอาค่า จ้างรางวัลให้พระองค์นั้น ปลงชีวิตท่านอาจารย์ เหตุอันนี้ เกิดขึ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลงเป็นใหญ่ ไม่คิดถึงธรรมวินัยเป็นหลัก ถึงแม้ตัวเองจะขาดจากความเป็นพระภิกษุก็จำยอม ทั้งอายุพรรษาก็ ๔๐ กว่าแล้ว ก็ยังไม่คิดถึงเลย ตัวเราเองก็ได้ ตั้งปณิธานตัวเองอยู่ว่า ถ้าเขาได้ทำกับเราลงไปแล้ว ความประจาดประจานความโหดร้ายของเขา ก็จะทำให้ชาวโลกเขารู้เองหรอก เมื่อหลังจากวันนั้นแล้ว หมอก็ได้เอาหลวงปู่ออกจากห้องอาพาธ แล้วขึ้นไปอยู่ชั้นที่ ๑๔ ตึกสุจิณโถ ในคืนวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๘ นั้น เวลาตี ๒ หลวงปู่เกือบสิ้นลมเสียแล้ว ทางเวรชายพยาบาล เขาบอกเล่าให้ฟังตอนเช้าตรู่ เพราะตัวของข้าพเจ้าเองได้อยู่เวรมา ตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืนตอนเช้าก็ได้เข้ารับเวรอีก ตั้งแต่วันนั้นมา หลวงปู่แหวนก็มีอาการหนักมากไม่ยอมกระดิกตัวเลย

สิ้นร่มโพธิ์แก้ว…ดั่งนกไร้รัง

จนถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ในตอนเช้า เราเองก็ได้ให้หมู่คณะได้ไปฉันข้าวเสียก่อน แล้วเราจึงได้ไปเรียกหลวงปู่ขึ้นมาดูว่า ท่านจะรู้สึกตัวได้ไหม เมื่อเราเรียกท่านแล้ว ท่านก็ได้ลืมตาขึ้นมาดูเรา เราเองได้พูดกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ หลวงปู่เอย..หลวงปู่ไม่ต้องเป็นห่วงพระลูกพระหลานดอกนะ พระลูกพระหลานหาเลี้ยงตัวเองอยู่ ที่หลวงปู่ได้มาปฏิบัติธรรมนี้ ก็เพื่อความพ้นจากทุกข์สิ่งใดที่หลวงปู่ได้รู้แล้วได้เห็นแล้ว ซึ่งความสุขของหลวงปู่นั้น แล้วแต่หลวงปู่จะเห็นสมควรก็สุดแท้แล้วแต่หลวงปู่เพราะโรคที่หลวงปู่เป็นอยู่นี้ พระลูกพระหลานก็ไม่สามารถที่จะเอาออกให้ได้ดอกนะ เพราะว่าร่างกายของหลวงปู่นี้ไม่ยอมรับเอายา เอาอาหารเสียแล้ว” เมื่อหลวงปู่ท่านได้รู้แล้วอย่างนี้ ท่านก็ได้เงือกหัวให้เรา (ผงกหัวให้เรา…เป็นการรับรู้) แล้วก็สงบนิ่งไป

จนถึงเวลา ๒๑.๕ต น. วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ นั่นเอง

การมรณภาพของหลวงปู่แหวน ก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา และพระบรมราชินีนาถ เหมือนกับว่าดินฟ้าถล่มไปทั้งเมืองไทยในหลวงก็ได้พระราชทาน โกศหลวงและรดน้ำอาบศพ ที่สถานพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นก็ได้มีบุคคลทุกทิศานุทิศ ได้ไปเคารพศพของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ได้นำศพของหลวงปูแหวน มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋งตามเดิม สิริอายุหลวงปู่แหวนได้ ๙๙ ปี ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่ให้ได้ ๑๒๐ ปี แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง ๙๙ ปี ก็พอเถอะมันลำบากผู้อยู่แล้วก็ได้ ๙๙ ปีตาม ที่ว่าไว้จริง อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาแท้จริง ขอให้พวกเราทุกๆคนจงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้ ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ในข้างหน้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *