ยึดเซฟเจ๊บิว-จับเพิ่มแก๊งฆ่าฝังเณรปลื้ม คณะสงฆ์ ชาวบ้าน ร่วมตรวจ ทรัพย์สิน บัญชี”วัด”

 

ยึดตู้เซฟ – ตร.นครศรีธรรมราชตรวจค้นบ้านพักน.ส.ปิยะฉัตร อรุณสกุล (ภาพเล็ก) หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฆ่าฝังสามเณรศุภโชค เอกเกียรติกุล พบบัญชีธนาคารมีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก และยึดอายัดตู้เซฟขนาดใหญ่ไปตรวจสอบ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.

รวบเพิ่มอีก 1 แก๊งฆ่าโบกปูนเณรวัด ดังเมืองคอนสารภาพเป็นคนขุดหลุมฝังศพได้ค่าจ้าง 1 หมื่น พร้อมให้การเป็นประโยชน์เชื่อมโยงเพื่อนร่วมแก๊งอีก 8 คน ผู้การเมืองคอนส่งตำรวจตรวจอายัดทรัพย์สินบ้าน “เจ๊บิว” หัวหน้าแก๊งพบหลักฐานอื้อทั้งสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ของวัดมูลค่ากว่า 3 แสนต่อเดือน ค่าเช่าแผงพระ-ค่าจอดรถรายวัน ใบตราตั้งพระเทพสิริโสภณ รังนกอีแอ่นอีกเพียบ ขณะที่ชาวบ้านร้องให้ตรวจสอบวัตถุโบราณของวัดว่าอยู่ครบหรือไม่ พศ.จ่อส่งจนท.ร่วมกรรมการชุดใหม่ที่รักษาการเจ้าอาวาสเตรียมตั้งขึ้นตรวจสอบทรัพย์สินของวัด

จากกรณีฆาตกรรมสามเณรปลื้ม หรือ ศุภโชค เอกเกียรติกุล อายุ 17 ปี ฝังศพโบกปูนทับไว้ภายในวัดวังตะวันตก อ.เมือง จ.นครศรี ธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม น.ส. ปิยฉัตร หรือบิว อรุณสกุล ผู้จัดการบัญชีวัด นายเด่นชัย ภูมินิยม หรืออดีตพระเด่นชัย สามีของน.ส.ปิยฉัตร และนายสุริยา กุศลสุข หรืออดีตสามเณรสุริยา โดยทั้ง 2 คนหลังให้ การรับสารภาพ ล่าสุดสั่งอายัดทรัพย์สินนาย เด่นชัยและน.ส.ปิยฉัตร พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีนับ 10 ล้านบาท ตามข่าวที่เสนอไปแล้ว

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช เผยว่า ได้รับรายงานว่าหลังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาอีก 1 คน คือนายนที หรือเบนส์ ศรีดร อายุ 24 ปี ผู้ที่ร่วมกันขุดหลุมฝังศพสามเณรปลื้มและได้ค่าจ้าง 10,000 บาท ขณะนี้ควบคุมตัวไว้ได้แล้ว ส่วนอีก 2 คนคือนายพิสิทธิ์ หรือป้าหลา บุษบรรณ อายุ 55 ปี เป็นสาวประเภทสอง และนายอาร์ ซึ่ง 2 รายกำลังรวบรวมหลักฐานว่ามีส่วนหรือไม่

พล.ต.ต.วันไชยระบุว่า สั่งการให้เร่งสืบสวนสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่พบว่ามีแบ่งกลุ่มกระทำความผิดชัดเจน 2 กลุ่ม คือกลุ่มฆ่า และกลุ่มขนย้ายศพ ซึ่งมี น.ส.ปิยฉัตรและนายเด่นชัย จ่ายเงินตอบแทนคนละ 1 หมื่นบาท ให้ขยายผลความเชื่อมโยงตามฐานความผิด ขณะที่นายนทีผู้ต้องหารายล่าสุดที่ถูกจับกุมรับสารภาพแล้ว และมีแนวโน้มว่าคดีจะสาวไปถึงตัวผู้ร่วมได้ถึง 8 คน

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.ต.วันไชย ส่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนำหมายค้นของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าตรวจค้นบ้าน เลขที่ 46/21 มีข้อความที่หน้าบ้านว่าบ้านพระนาย ในหมู่บ้านแสนสวย ม.2 ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ของน.ส.ปิยฉัตรพบหลักฐานจำนวนมาก โดยเฉพาะใบเสร็จรับเงินค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ของวัดวังตะวันตก 89 ราย มียอดรายได้กว่า 3.5 แสนบาทต่อเดือน สมุดบัญชีเงินฝากของวัดอีกหลายเล่ม มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีในระดับหลักร้อยถึงหลักพัน และหลักหนึ่งหมื่นบาทเศษ ส่วนบัญชีของ น.ส.ปิยฉัตรมีวงเงินหมุนเวียน เกือบ 5 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังพบตู้เซฟขนาดใหญ่ไว้ด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดดูภายในได้ รวมพบ หลักฐานอื่นๆ เช่น ผ้าไตรจีวร ใบตราตั้งสมณศักดิ์จากพระราชปฏิภาณโสภณ เลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้นเป็นพระเทพสิริโสภณ รังนกอีแอ่นหลายกิโลกรัม ซึ่งระบุว่าเป็นรังนกที่ได้จากอาคารภายในวัดโดยถูกเก็บออกมาขายเป็นรายเดือนเฉลี่ยเดือนละ 10 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 3-6 แสนบาท ไม่นับรวมรายได้เงินสดรายวันจากค่าจอดรถและค่าเช่าแผงพระเครื่อง ซึ่งต้องจ่ายทั้งรายวันและรายเดือนอีกประมาณวันละ 1.5-2 หมื่นบาท จึงตรวจยึดไว้ทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับข้องกับวัดหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งว่า วันเดียวกันพระเทพสิริโสภณ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่อยู่ในสภาพเครียดกับเหตุการณ์สามเณรปลื้มถูกฆ่า ออกมาจากวัดวังตะวันตกไปพำนักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ลานสกา โดยมีลูกศิษย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดและมีพระสงฆ์ที่สนิทชิดเชื้อและยังเคารพเข้าเยี่ยมเยียนเป็นระยะ เพื่อเป็น การคลายความตึงเครียด

ส่วนที่วัดวังตะวันตก ชาวบ้านในพื้นที่ ขอให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบวัตถุโบราณซึ่งเป็นของดั้งเดิมของวัดมี ทั้งเครื่องถ้วยโบราณ พระพุทธรูปบูชา และสิ่งของอื่นๆ ที่ถูกเก็บไว้บนกุฏิเจ้าอาวาสและในอาคารในวัด แต่หลังจากที่น.ส.ปิยฉัตรและนายเด่นชัยเข้ามาดูแลชาวบ้านรับไม่ได้ และไม่เข้าร่วมกิจกรรมภายในวัดอีกเลย จึงเป็นโอกาสที่จะเข้าชำระทุกอย่างของวัดครั้งใหญ่

โดยพระครูพรหมเขตคณารักษ์ (ชัยสิทธิ์) เจ้าคณะอำเภอพระพรหม และเจ้าอาวาสวัดสระเรียง ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดวังตะวันตก เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการวัดชุดพิเศษมา 1 ชุด เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินต่างๆ ของวัด ซึ่งมีทั้งวัตถุโบราณ พระพุทธรูปเก่าแก่ รวมทั้งทรัพย์สิน อื่นๆ อีกหลายรายการว่ามีอะไรสูญหายไปจากวัดได้ ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนต่างมีจิตอาสาเข้าร่วมหลายคน

พระครูพรหมเขตคณารักษ์กล่าวว่า คนอยู่ใกล้วัดซึ่งบางคนบอกว่านานหลายปีไม่ได้เข้ามาในวัดแห่งนี้ได้มาร่วมปรึกษาและเต็มใจมาเป็นกรรมการเพื่อร่วมกันตรวจสอบทุกเรื่องภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัญชี ทรัพย์สินของวัด เพื่อเปิดให้สาธารณชนได้รับทราบ บุคคลที่จะเชิญมามีตำรวจ สำนักพุทธศาสนาจังหวัด คณะสงฆ์ และชาวบ้านมาตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งจะดำเนินการในเร็วนี้

ด้านนายจรัญ มารัตน์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า วัดวังตะวันตกเป็นวัดเก่าแก่มีทรัพย์สิน วัตถุโบราณเป็นจำนวนมาก สำนักงานพระพุทธศาสนาพร้อมเข้าร่วมในการตรวจสอบ เนื่องจากวัดเป็นนิติบุคคลสิทธิขาดอยู่ ที่เจ้าอาวาส ปกติวัดทุกวัดจะต้องรายงานบัญชีทางการเงินมาให้สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดรับทราบปีละ 1 ครั้งทุกสิ้นปี ในกรณีวัดวังตะวันตกส่งมาเช่นกันและผู้ส่งเป็นฆราวาส ซึ่งในบัญชีของวัดดูออกว่าเป็นการตกแต่งบัญชีมีเงินหมุนเวียนไม่ตรงกับความเป็นจริง รายงานมาเพียงปีละแค่หลักแสนบาทเท่านั้นไม่สมเหตุสมผล จะเข้าไปร่วมดูแลวัดแห่งนี้โดยเฉพาะในส่วนของการเช่าอสังหา ริมทรัพย์

 

ขอขอบคุณแหล่งข่าว จากข่าวสด  https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_383381

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *